วันพุธที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

23 วิธีประหยัดน้ำมัน

23 วิธีประหยัดน้ำมัน







1. ตรวจตาลมยางเป็นประจำ ยางที่อ่อนเกินจะทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันมากกว่ายางที่มีปริมาณลมยางตามที่มาตรฐานกำหนด

2. สับเปลี่ยนยาง ตรวจตั้งศูนย์ล้อตามกำหนด จะช่วยประหยัดน้ำมันเพิ่มขึ้นอีกมาก

3. ดับเครื่องยนต์ทุกครั้งเมื่อต้องจอดรถนานๆ

4. ออกรถแบบไม่กระชาก เพราะการกระชาก 10 ครั้ง สูญเสียน้ำมันไปเปล่าๆ ถึง 100 ซีซี

5. ไม่เร่งเครื่องยนต์ตอนเกียร์ว่าง ทำ 10 ครั้ง เสียน้ำมันถึง 50 ซีซี

6. ตรวจ ตั้งเครื่องยนต์ตามกำหนด เช่น ทำความสะอาดระบบไฟจุดระเบิด เปลี่ยนหัวคอนเดนเซอร์ ตั้งไฟแก่อ่อนให้พอดี จะช่วยประหยัดน้ำมันได้ถึง 10%

7. หากออกรถและขับช้าๆ เครื่องยนต์จะอุ่นเอง ไม่ต้องเปลืองน้ำมันไปกับการอุ่นเครื่อง

8. ไม่บรรทุกน้ำหนักเกินพิกัด เพราะเครื่องยนต์ทำงานหนักตามพิกัดที่เพิ่มขึ้น

9. Car pool ไปไหมมาไหนที่หมายเดียวกัน ควรใช้รถคันเดียวกัน

10. เดินทางเท่าที่จำเป็นจริงๆ เพื่อประหยัดน้ำมัน

 

11. ไปซื้อของหรือธุระใกล้บ้าน เดินหรือใช้จักรยานเพื่อสุขภาพ

12. ก่อนนัดใคร โทรนัดให้เรียบร้อย จะได้ไม่เสียเวลาไปเสียเที่ยว

13. สอบถามและศึกษาเส้นทางให้แน่ชัด จะได้ไม่หลง ไม่เสียเวลา ไม่เปลืองน้ำมันในการวนหา

14. โทรศัพท์ โทรสาร ไปรษณีย์ อินเตอร์เนต หรือบริการส่งเอกสาร แทนการเดินทางด้วยตนเอง

15. หมั่นศึกษาเส้นทางลัด ช่วยให้ไม่ต้องเดินทางยาวนานและลดปัญหาจราจร

16. ควรขับรถด้วยความเร็วคงที่

17. ไม่ควรขับรถลากเกียร์ เพราะจะทำให้เครื่องยนต์หมุนรอบสูงกินน้ำมันมาก เครื่องยนต์ร้อนจัดสึกหรอง่าย

18. ไม่ ติดตั้งอุปกรณ์ที่จะทำให้เครื่องยนต์ทำงานหนักขึ้น เช่น การทำให้เกิดการต้านลมขณะวิ่ง หรือทำให้เครื่องยนต์ไม่สามารถถ่ายเทความร้อนได้ดี

19. ไม่ควรใช้น้ำมันเบนซินที่ออกเทนสูงเกินความจำเป็น เพราะสิ้นเปลืองพลังงานโดยเปล่าประโยชน์

20. หมั่นเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง ไส้กรองน้ำมันเครื่อง ไส้กรองอากาศตามระยะเวลาที่เหมาะสม

21. เลือกเติมน้ำมันให้ถูกชนิด ถูกประเภท

22. เปิดกระจกรับอากาศยามเช้าแทนเปิดแอร์บ้างก็ดี

23. งดเร่งเครื่องปรับอากาศในรถถ้าไม่จำเป็น เพราะสิ้นเปลืองพลังงาน


   



http://webboard.yenta4.com/topic/7611 

มาแก้โรคเฉื่อยแฉะ กันเถอะ!! ...

มาแก้โรคเฉื่อยแฉะ กันเถอะ!! ...

เสน่ห์ของผู้หญิงเราจะหมดไปถ้าไม่ใส่ ใจสุขภาพ ความสวยคือการบำรุงทั้งภายนอกและภายใน ภายนอกบำรุงจากการใช้ครีม แต่การบำรุงจากภายในก็คือการหาอาหารที่มีประโยชน์เข้าสู่ร่างกายเพื่อเสริม สร้างให้ร่างกายแข็งแรงแลยังทำให้พวกเรามีบุคลิกดูดีขึ้นด้วยนะ 




การ ดูแลและรักษาสุขภาพของตัวเราเองยิ่งทำให้เห็นถึงความเอาใจใส่รักตนเอง ความสวยต้องควบคู่ไปกับการมีสุขภาพที่ดีด้วย งั้นเรามาดูอาหารบำรุงสมองและร่างกายกันดีกว่าว่ามีอะไรบ้างจะได้เตรียมตัว เป็นสาวสุขภาพดีกันไงล่ะคะ

โรคเหนื่อยง่าย
เฉื่อย ชาเนี่ยควรหมั่นรับประทานอาหารที่มีวิตามินบี 2 จะช่วยต้านได้ซึ่งแหล่งอาหารที่มีวิตามินบี2 ก็จะมีอยู่ในจำพวกตับ ไข่แดง นม เนยแข็งและเนื้อสัตว์ต่างๆ รับประทานในปริมาณเพียงพอ ก็จะทำให้เราสดชื่นขึ้นได้นะ

โรคประสาทเฉื่อย
อาการ คลื่นไส้วิงเวียให้ดื่มน้ำสองสหายเยอะๆหน่อย จะทำให้ดีขึ้น ส่วนผสมก็คือ น้ำแครอทผสมน้ำแอปเปิล แถมยังแก้อาการอ่อนเพลียได้ด้วย


โรคขาดเรี่ยวแรง
ให้ทานมะระมากๆ แต่มะระเปล่าๆก็ขมไม่ใช่เล่น ลองทานก๋วยเตี๋ยวไก่มะระ กินง่ายขึ้นเยอะเลยนะคะ

โรคเครียด
โรคประสาทนี่เลย หอยนางรม แต่ควรกินให้พอเหมาะเพราะหอยนางรมมีคลอเลสเตอรอลสูง ไม่งั้นลงพุงไม่รู้ด้วยล่ะ

โรคอ่อนเพลีย
ให้ ทานมะเขือเทศ จะทานเปล่าๆก็ไม่อร่อย งั้นลองทำน้ำมะเขือเทศสิ จะทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้นมากเลยถ้าไม่ชอบก็เปลี่ยนเป็นสลัดผักใส่มะเขือเทศ ผสมกับผลไม้หลายๆอย่างตามชอบ เห็นมั้ยล่ะ ทั้งอร่อย ทั้งสุขภาพดี

การรับประทานอาหารควรครบทั้ง 5 หมู่ เราจะได้สารอาหารครบในแต่ละชนิดในแต่ละวัน เพราะอาหารแต่ละชนิดจะซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอต่างๆของร่างกายไม่เหมือนกัน รู้แบบนี้ถ้าเลือกทานให้ได้ประโยชน์จะได้ทั้งสวยทั้งฉลาดและแข็งแรงด้วยนะ




http://webboard.yenta4.com/topic/5663 

 

คุณเคยเศร้ามั้ย?

คุณเคยเศร้ามั้ย?

ภาวะซึมเศร้า... ใครหลายๆคนคงไม่อยากที่จะพบเจอกับมัน เพราะจะมันทำให้คุณดูหดหู่ ไม่มีชีวิตชีวา มองไปทางไหนก็เศร้า... เรียกว่าเป็นปัญหาเข้าแล้ว

ภาวะซึมเศร้าเป็นอย่างไร
ภาวะซึม เศร้า นับว่าเป็นความเจ็บป่วยทางจิตอย่างหนึ่ง ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกไม่มีความสุข ซึมเศร้า จิตใจหม่นหมอง หมดความกระตือรือร้น เบื่อหน่ายตัวเอง ท้อแท้ โดดเดี่ยว บางคนถึงขั้นสิ้นหวัง รู้สึกหมดคุณค่าในตัวเอง ซึ่งอาจนำไปสู่การคิดสั้น ฆ่าตัวตายได้

สาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะซึมเศร้า
มีสองสาเหตุ หลักคือ สาเหตุทางร่างกาย เช่น อาจมีอาการเจ็บป่วยจากโรคบางอย่าง ทำให้หมดกำลังใจ หรืออาจเกิดจากการใช้ยาบางชนิด เช่น ยารักษาความดันโลหิตสูง ยารักษาโรคกระเพาะ ยาขับปัสสาวะ และยารักษามะเร็งเป็นต้น

ส่วนสาเหตุทางจิตใจนั้น อาจจะเกิดจากการขาด หรือน้อยลงของสารสื่อประสาทบางชนิดในสมอง รวมทั้งยังอาจเกิดจากอารมณ์ตอบสนองต่อปัญหาต่างๆ ในชีวิต ทั้งความเครียดที่เกิดขึ้น ภาวะการสูญเสีย หรือภาวะที่ทำให้เกิดการเสียใจ ไม่สบายใจ หรือเกิดความเป็นทุกข์ทางใจ

ทำอย่างไรถึงจะรู้ว่าเศร้า
เรา สามารถสำรวจตัวเองได้ จากข้อมูลต่อไปนี้ ถ้ามีอาการต่าง ๆ 5 ข้อขึ้นไป และมีอาการเช่นนี้มานานกว่า 2 สัปดาห์ นั่นหมายถึงคุณอาจจะประสบภาวะซึมเศร้าเข้าแล้ว

1. รู้สึกเซ็ง เศร้า เสียใจ หรือหงุดหงิดโดยไม่มีเหตุผล

2. รู้สึกเบื่อหน่ายสิ่งต่างๆ ที่เคยชอบ หรือเคยทำ หรือมีความต้องการทางเพศเปลี่ยนไปจากเดิม อาจเป็นไปได้ทั้งมากขึ้นและลดลง

3. รู้สึกเบื่ออาหาร หรือรับประทานมากขึ้น น้ำหนักตัวลงลง หรือมากขึ้น นอนไม่หลับ หรือนอนหลับมากเกินไป

4. รู้สึกอ่อนเพลีย ล้า ไม่มีแรงโดยไม่มีสาเหตุ

5. รู้สึกหมดหวัง มองตนเองไม่มีค่า หรือคอยตำหนิกล่าวโทษตัวเอง สมาธิไม่ดี ขี้ลืม ไม่มั่นใจ ไม่กล้าตัดสินใจ

รู้สึกกระวนกระวายใจ นั่งไม่ติด ทุรนทุรายโดยไม่มีสาเหตุ เบื่อหน่าย หรือเบื่อชีวิต หรือคิดอยากตาย หรือพยายามฆ่าตัวตาย

เศร้าแล้วทำอย่างไร
ถ้า สงสัยว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในภาวะซึมเศร้า ควรปรึกษาแพทย์ เพราะถ้าไม่ได้รับการรักษาอาจจะทำให้ระยะเวลาการป่วยยาวนานขึ้น และอาจถึงขั้นฆ่าตัวตายได้ นอกจากนี้ ถ้าเริ่มมีอาการ ไม่ควรอาย เพราะภาวะนี้สามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศ ทุกวัย และควรตระหนักว่า ภาวะซึมเศร้าไม่ได้เกิดจากการคิดขึ้นมาเอง ไม่ได้เกิดจากความอ่อนแอ หรือความไม่อดทน มันเป็นอาการป่วยจริง ๆ ที่ต้องได้รับการรักษาจากแพทย์

เอาเป็นว่าทุกปัญหา ยังไงก็มีทางออก อย่าเพิ่งท้อแท้กันนะ...เอ้า!ยิ้มกันหน่อย สู้กับความเศร้า...




http://webboard.yenta4.com/topic/7351
 

สีบอกบุคลิก และอารมณ์ได้

สีบอกบุคลิก และอารมณ์ได้




ว่ากันว่าสีแต่ละสีมีความหมายในตัวของมันอยู่แล้ว เมื่อสีใดสีหนึ่งมาอยู่บนตัวเรา เราก็จะแสดงความรู้สึกออกมาตามสีนั้น แล้วคุณคิดว่าสีไหนเหมาะกับคุณที่สุด
สีดำ เป็นสีที่บ่งบอกถึงความมีอำนาจ ดูภูมิฐาน และดูเป็นผู้ดีมี รสนิยม นอกจากนี้ยังเป็นสีที่นำไปแมทกับสีอื่นๆ ได้ง่าย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องรู้จักเลือกแต่งให้เข้ากับเครื่องประดับ รองเท้า เมคอัพ ด้วย เดิมใครเป็นสาวมั่นอยู่แล้ว พยายามอย่าใส่ชุดสีดำใส่ไปสัมภาษณ์ งานเด็ดขาด เพราะมันอาจทำให้คุณดูเด่นเกินหน้า ซึ่งอาจถึงขั้นสวยข่มรัศมีอนาคตเจ้านายก็เป็นได้
สีแดง ช่างเป็นสีที่เด่นและสะดุดตาเหลือเกิน นั่นเพราะสีแดงเป็น สัญลักษณ์ของความร้อนแรง เย้ายวนใจ ดังนั้นคนที่ใส่จะต้องเป็น คนมั่นใจในตัวเอง ค่อนข้างเปิดเผยและมีลักษณะเป็นผู้นำ ความโดดเด่นของสีแดงใครเห็นก็ต้องหยุดมอง หากสาวใด ต้องการเป็นจุดสนใจ ใส่ชุดแดงออกไปเดินแถวเซ็นเตอร์พอยต์ หรือเอ็มโพเรียม ได้เลย
สีเหลือง ถึง แม้จะเป็นสีที่ไม่ค่อยเตะตาใครต่อใครเหมือนสีอื่น แต่ความโดดเด่นของสีเหลืองก็บ่งบอกได้ว่า คุณเป็นคนอารมณ์ดี ร่าเริง แจ่มใส และอ่อนโยน แต่อย่าได้ใส่ประเภทเหลืองแจ๊ดจนกลายเป็นส้ม เพราะสีส้มอาจเปลี่ยนบุคลิกจากสาว น้อยให้กลายเป็นหญิงกร้านโลกใน สายตาคนรอบข้างได้ในพริบตา
สีฟ้า เป็นสีที่ผสมระหว่างความอ่อนหวานและแข็งแกร่ง เป็นตัวแทนของความสดใสและ กระฉับกระเฉงได้อย่างลงตัว เพราะเหตุนี้สีฟ้าจึงค่อนข้างป็อปปูลาร์ในหมู่สาวน้อยสาวใหญ่ เพราะจะแต่งให้เท่หรือหวานก็ได้
สีเขียว เป็นสีที่แสดงออกถึงความสุขุม เยือกเย็น ใกล้เคียงกับสีฟ้า แต่น่าแปลกที่วงการแฟชั่นไม่ค่อย นิยมใช้สีเขียวกัน คงเป็นเพราะ วงการแพทย์ชิงเอาไปใช้เสียก่อน ดีไซน์เนอร์จึงเกรงว่าถ้าใส่เสื้อ ผ้าสีเขียว แล้ว เดี๋ยวคนจะทึกทักเอาว่าขโมยชุดคนไข้มาใส่รึไง
สีม่วง พูดถึงสีนี้ทีไรคนไทยชอบเหมาว่าเป็นสีแม่ม่าย ทุกที ไม่รู้ต้นคิดมาจากไหน แต่ฝรั่งกลับมองว่า สีม่วงหมายถึง เสน่ห์อันแสนลึกลับ น่าค้นหา ประมาณว่าเป็นสาวรักสันโดษ ไม่ชอบสุงสิงกับใคร




สีขาว ใส สะอาด บริสุทธิ์ และสวยงาม ต้องยกให้สีขาว จึงไม่แปลกใจ ว่าทำไมชุดแต่งงานถึงนิยมใช้สีขาวเป็นหลัก แต่ถ้าในชีวิตประจำวัน หากวันไหนลุกขึ้นมาใส่ขาว ล้วนก็ต้องสวมเครื่องประดับด้วย ไม่อย่างนั้นจะทำให้ทั้งเสื้อผ้าและคนใส่ดูจืดชืดเกินไป แต่ถ้าจะเอาไปใส่แมทช์กับสีอื่นก็ย่อมได้ เพราะสีขาวเข้าได้กับทุกสีอยู่แล้ว
สีชมพู นุ่ม นวล อ่อนหวาน คือ คุณสมบัติของสีชมพู ถ้าคุณไม่ใช่ สาวหวาน กุ๊กกิ๊ก น่ารักจริงๆ อย่าพยายามใส่ เพราะจะขัดกับ บุคลิกเอามากๆ






เลือกสีให้เข้ากับสีผิวและเส้นผม
เลือกอย่างไรให้สวยและดูดี มีสูตรง่ายๆ อยู่ว่า ให้เลือกในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับสีผิวและผม เช่น
ผิวขาว สีผมและนัยน์ตาดำ : ควรเลือกใส่ชุดสีอ่อนๆ สว่างสดใส เช่น เหลือง ฟ้า ชมพู ขาว ครีม พยายามหลีกเลี่ยงสีขุ่นๆ อย่างน้ำตาลหรือเทาเข้ม เพราะจะทำให้ดูหมอง ขาดความสดชื่นข
ผิวขาว สีผมและนัยน์ตาสีน้ำตาล : จริงๆแล้ว จะใส่ชุดอ่อนหรือสีเข้ม ก็ได้ แต่ถ้าให้ดีแนะนำว่าสีเข้มอย่าง สีแดง น้ำเงิน ม่วง หรือ ดำ จะสวยกว่า เพราะทั้งสีผมและผิวค่อนข้างสีอ่อน การใส่สีเข้มจะช่วยขับให้ผิวดูมีน้ำมีนวลขึ้น ข
ผิวคล้ำ : ไม่ว่าสีผมของคุณจะน้ำตาลหรือดำ ไม่มีผล เพราะสีผิวคล้ำมีทางเลือกเดียวคือ ต้องใส่เสื้อผ้าสีอ่อนๆ เท่านั้น เช่น ฟ้า ขาว ครีม ชมพู




http://webboard.yenta4.com/topic/400893






เบื้องหลังความรัก

เบื้องหลังความรัก

ความรักที่สมหวัง... ของใครบางคน
อาจเป็นความรัก... ที่ผิดหวังของใครอีกคน
ความรักร้อนแรง...
มักแฝงไปด้วยความพิศวาส 
 

 


 
ความรักที่แท้จริง คือการที่เราได้เห็นคนที่เรารัก...
มีความสุข... โดยไม่หวังผลตอบแทน
เรามักจะมองข้ามความรัก...
ที่บริสุทธิ์ใจและแท้จริง... จากบุพการี



ถ้าเรามองความรัก... เป็นสิ่งที่มีค่า
เราคงไม่เห็นใคร... ที่เสียใจเพราะความรักเลย
"เธอดีเกินไป"
เป็นเหตุผล ของคนที่เห็นแก่ตัว 
 
 


 
 
 
 
http://webboard.yenta4.com/topic/156460

 

ธีป้องกันไม่ให้เป็นร้อนใน

วิธีป้องกันไม่ให้เป็นร้อนใน




วิธีป้องกันไม่ให้เป็นร้อนใน

     ร้อนในหรือแผลในปาก เชื่อว่าทุกคนคงเคยเป็นกัน เวลาเป็นแล้วจะเจ็บและรับประทานอะไรก็ลำบาก 

     วันนี้เกร็ดความรู้มีวิธีป้องกันไม่ให้เป็นร้อนในมาฝากกัน.. 

            1. ระวังอย่าให้ท้องผูก เพราะร้อนในมักจะเป็นร่วมกับท้องผูก 

            2. หลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้ร้อนใน เช่น ของทอด ของมันๆ ขนม น้ำตาล ทุเรียน ลำไย ข้าวเหนียวมะม่วง ฯลฯ อาหารพวกนี้กินแต่เพียงน้อยๆ อย่ากินมาก 

            3. หลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสเผ็ดร้อน เช่น กระเทียม หอม ขิง ฯลฯ แต่พริกกินได้ 

            4. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ช่วยลดอารมณ์เครียด ความเครียดส่วนมากทำให้เป็นโรคนี้ 

            5. รักษาความสะอาดในช่องปากอย่างเข้มงวด คือ แปรงฟันทุกครั้งหลังจากรับประทานอาหารแล้ว(ถ้าเป็นไปได้ควรใช้ไหมขัดฟันทุก ครั้งหลังอาหาร) 

            6. ดื่มน้ำมากๆ วันหนึ่ง ๆ ให้ได้ 10 แก้วขึ้นไป 

            7. อย่าอดนอน 

            8. กินผักและผลไม้มากๆ

ถ้าไม่อยากเป็นร้อนใน ก็ลองปฏิบัติตามคำแนะนำกันดูได้
 

ไฟฟ้าสถิต

ความรู้เกี่ยวกับ ไฟฟ้าสถิต 


อยากทราบว่า เวลาเราไปจับประตูรถ หรือเก้าอี้ ทำไมถึงเกิดไฟฟ้าสถิต เหมือนไฟดูด รบกวนอธิบายอย่างง่ายๆ ด้วยค่ะ ขอบคุณนะคะสำหรับคำตอบ ขอให้น้าชาติหล่อๆ รวยๆ มีความสุขสดชื่นมากๆ




ไฟฟ้าสถิต ภาษาอังกฤษใช้ Static electricity หรือ Electrostatics เป็นปรากฏการณ์ที่ปริมาณประจุไฟฟ้าขั้วบวกและขั้วลบบนผิววัสดุมีไม่เท่ากัน ปกติจะแสดงในรูปการดึงดูด การผลักกัน หรือการเกิดประกายไฟ
โดยแรงดึงดูดจะเกิดขึ้นเมื่อวัตถุ 2 ชิ้นมีประจุต่างชนิดกัน ขณะที่หากวัสดุทั้ง 2 ชิ้นมีประจุเดียวกัน ก็จะทำให้เกิดแรงผลัก
เราสร้างไฟฟ้าสถิตได้ โดยนำผิวสัมผัสของวัสดุ 2 ชิ้นมาขัดสีกัน พลังงานที่เกิดจากการขัดสีกัน จะทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนประจุไฟฟ้าบนผิววัสดุ โดยจะเกิดกับวัสดุที่ไม่นำไฟฟ้า หรือที่เรียกว่า "ฉนวน" เช่น ยาง พลาสติก และแก้ว
สำหรับวัสดุที่นำไฟฟ้า มีโอกาสเกิดปรากฏการณ์ประจุไฟฟ้าบนผิววัสดุไม่เท่ากันยาก แต่ก็สามารถเกิดขึ้นได้ เช่น กรณีที่ผิวโลหะถูกกระแทกด้วยของแข็งหรือของเหลวที่ไม่เป็นตัวนำ โดยประจุที่เกิดการเคลื่อนย้ายระหว่างการสัมผัส จะถูกเก็บบนผิวของวัสดุทั้ง 2 ชิ้น




ผู้ค้นพบไฟฟ้าสถิตคือ เบนจามิน แฟรงกลิน นักวิทยาศาสตร์ นักประดิษฐ์ และนักปฏิรูปชาวอเมริกัน ไฟฟ้าสถิตเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่ประชาชนในประเทศที่มีอากาศหนาวคุ้นเคยดี เนื่องจากในฤดูหนาวความชื้นในอากาศจะต่ำมาก ไฟฟ้าสถิตบนผิวหนังจึงเกิดขึ้นได้ง่าย ส่วนบ้านเราอยู่เขตร้อน บางครั้งช่วงอากาศเย็น ก็จะเห็นปรากฏการณ์นี้บ้าง เวลาผมตั้งชี้ฟ้า
นอก จากไฟฟ้าสถิต จะมีผลต่อคนเมื่อไปสัมผัสกับวัสดุประเภทตัวนำ ทำให้รู้สึกสะดุ้งเหมือนถูกไฟชอร์ตแล้ว ยังทำความเสียหายให้กับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ด้วย โดยไฟฟ้า สถิตที่ส่งจากคนงานในสายการผลิต เครื่องมือ และอุปกรณ์อื่นๆ ไปยังชิ้นงานอิเล็กทรอนิกส์ จะมีผลทำให้คุณสมบัติทางไฟฟ้าของชิ้นงานเหล่านั้นเปลี่ยนไป อาจเป็นการลดคุณภาพลง หรือทำลายชิ้นงาน
อย่างไรก็ตาม มีอุปกรณ์หลายอย่างที่ทำงานโดยอาศัยหลักการของไฟฟ้าสถิต เช่น เครื่องถ่ายเอกสาร เครื่องกำจัดฝุ่นในอากาศ เครื่องพ่นสี ไมโครโฟนแบบตัวเก็บประจุ ฯลฯ
สำหรับวิธีแก้ไขการเกิดไฟฟ้าสถิตขณะใช้รถยนต์ กรม ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย แนะนำว่า ให้ใช้มือจับกระจกรถยนต์ก่อนสัมผัสตัวรถ เพราะกระจกเป็นฉนวนที่ไม่นำไฟฟ้า จึงช่วยลดการเกิดไฟฟ้าสถิตได้
การถือ กุญแจและรีโมตไว้ในมือหลังลงจากรถแล้วปิดล็อกรถ หรือใช้ข้อศอกหรือเข่าทาบกับประตูรถขณะลงจากรถแทนการใช้มือ ก็ช่วยลดความรุนแรงของไฟฟ้าสถิตได้เช่นกัน
นอกจากนั้น อาจใช้สเปรย์กำจัดไฟฟ้าสถิตฉีดบริเวณฝ่ามือเพื่อลดแรงเสียดทาน ก็ป้องกันการเกิดไฟฟ้าสถิตได้อีกทางหนึ่ง
อีกวิธีคือผูกโซ่ไว้ใต้ท้องรถ หรือหาวัตถุมาลากกับพื้นถนน เพื่อให้ถ่ายเทประจุไฟฟ้าลงสู่พื้น วิธีนี้ทำให้ไม่รู้สึกว่าถูกไฟฟ้าดูดขณะเกิดไฟฟ้าสถิต รวมถึงป้องกันเพลิงไหม้รถอันเนื่องมาจากไฟฟ้าสถิตด้วย




http://webboard.yenta4.com/topic/540402





การเลือกซื้อกระเป๋าเดินทาง

ข้อคิดดีดี ในการเลือกซื้อกระเป๋าเดินทาง เพื่อให้เหมาะสมกับการเดินทางของคุณ

สำหรับนักเที่ยวมือใหม่ที่ต้องการเลือก กระเป๋าเดินทางสักใบ  แต่ไม่มีความรู้ในการเลือกสักเท่าไหร่  วันนี้มีทริคเล็กๆ น้อยๆมาแนะนำกันคะ สำหรับวิธีการเลือกซื้อ  แน่นอนว่าคุณจะได้ของดีในราคาประหยัด และคุ้มค่าการใช้งาน สุดๆ ^^




1. ล้อ
ล้อที่ดีที่สุดควรเป็นล้อยางทั้งลูก ชนิดที่มีตลับลูกปืน ตัวล้อควรฝังอยู่ภายในกระเป๋าเดินทาง โดยเฉพาะกระเป๋าเดินทางที่ไว้ใต้ท้องเครื่องบินเพราะจะป้องกันการเสียของล้อ ได้ สำหรับกระเป๋าเดินทางที่นำติดตัวขึ้นเครื่องบิน ควรดูขนาดให้ถูกตามกฎเกณฑ์ของสายการบินที่เค้ากำหนดไว้

2. หูหิ้ว
หูหิ้วแบบยืดหดควรติดตั้งและยึดเกาะ กับกระเป๋าได้เป็นอย่างดี ถ้าเป็นแบบพับ ก็ต้องแนบติดกับตัวกระเป๋าเดินทาง เพื่อป้องกันความเสียหายของเสาคันชัก เวลาเราชักเข้าชักออก

3. Denier (หน่วยวัดความแข็งแรงของผ้า)
Denier เป็นหน่วยของการวัดขนาดเส้นใยที่ใช้ในการทอผ้า dinier ยิ่งมากจะทำให้ผ้าหนักยิ่งขึ้น สำหรับวัสดุที่นำมาทอเป็นผ้าก็ให้ความแข็งแรงแตกต่างกันด้วย เช่น polyester 1800 denier แข็งแรงกว่า Polyester 1200 denier แต่แข็งแรงน้อยกว่า ballistic nylon 1050 denier โดยทั่วไปตามสายการบินจะไม่ยอมรับความเสียหายกับกระเป๋าเดินทางที่ทำด้วยผ้า 600-700 denier

4. การรับประกัน
กระเป๋าเดินทางทุกยี่ห้อจะรับประกันก็ ต่อเมื่อมีความเสียหายที่เกิดจากการ ผลิต เท่านั้น เช่น ซิปผิดปกติ รอยเย็บเบี้ยว หูลากหลุดหรือน็อตหลุด การรับประกันส่วนใหญ่จะเป็นของผู้ผลิต ไม่ใช่เป็นของร้านที่ขายดังนั้นไม่ควรไปเชื่อกับการรับประกันของร้านมากนัก  เวลาเลือกซื้อควรตรวจตรา ดูองค์ประกอบต่างๆให้ถี่ถ้วนก่อนตัดสิ้นใจซื้อเสมอ

5. การซื้อกระเป๋าเดินทางเป็นการลงทุนไม่ใช่ความสิ้นเปลือง
การคุ้มค่าในการลงทุนซื้อกระเป๋าเดิน ทางขึ้นอยู่กับอายุของการใช้งานของกระเป๋าเดินทาง ถ้าคุณจ่ายเงินสองเท่าเพื่อซื้อกระเป๋าเดินทางที่มีอายุใช้งานนานขึ้น 4 ปี ก็ถือว่าคุ้มค่า  แต่อย่าลืมค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมด้วยนะจ้ะ

6. ไม่ต้องกังวลว่ากระเป๋าเดินทางใบใหญ่กว่าจะหนักมากกว่า
สิ่งของที่คุณจะบรรจุลงในกระเป๋าเดิน ทางอาจมีน้ำหนักประมาณ 20-30 กก. แต่น้ำหนักกระเป๋าเดินทางที่ใหญ่เล็กต่างกัน 4-6 นิ้ว อาจมีน้ำหนักต่างกันเพียงครึ่งกิโลเท่านั้น และคุณจะรู้ว่าถ้ากระเป๋าเดินทางไม่พอคุณต้องซื้ออีกใบที่ น้ำหนักอย่างต่ำก็ ประมาณ 3-4 กก. ซึ่งทำให้สิ้นเปลืองเพิ่มขึ้นอีก มองดูแล้วมันไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย

7. กระเป๋าเดินทางใหญ่ก็ไม่ใช่ว่าจะดีเสมอไป
คนทั่วไปจะบรรจุสิ่งของลงในกระเป๋า ขนาด 26 นิ้วได้พอดี ดังนั้นก็ไม่ควรใช้กระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่กว่านี้  โดยเฉพาะถ้าคุณมีปัญหาเรื่องการยกของหนัก เช่น ปวดหลัง หรือปวดแขน

8. อย่าไปยึดติดกับยี่ห้อ
คนทั่วไปจะคุ้นเคยกับชื่อ Samsonite และ american tourister เพราะเป็นเจ้าแรก ๆ ที่ขายมานาน แต่ก็ยังมีหลายยี่ห้อที่คุณภาพก็ใช้ได้ เช่น travelpro eminent echolac delsey หรือแม้แต่ Blue light, Valentino, Miracle, Dandy ลองเลือกการใช้งานต่าง ๆ ให้ดีก่อนตัดสินใจซื้อ ดีกว่า ที่จะเน้นหนักไปที่ยี่ห้อ นะจ้ะ

9. ซื้อกระเป๋าเดินทางกับร้านที่มีความรู้ด้านกระเป๋าจริงๆ
เพราะกระเป๋าเดินทางเดี๋ยวนี้ไม่ใช่มี หน้าที่แค่บรรจุสัมภาระเท่านั้น อย่าไปกลัวที่จะถามคนขายเกี่ยวกับความทนทาน หน้าที่การทำงานต่าง ๆ การบริการหลังการขาย

ก่อนซื้อทุกครั้ง ควรดูองค์ประกอบต่างๆให้ดี ก่อนตัดสินใจซื้อ เพราะจะได้เป็นเพื่อนคู่ใจคุณไปนานๆ ไม่ต้องสิ้นเปลืองเงินในการซื้อบ่อยๆ นะคะ  @ Watergate pavilion # ร้านเลิศศิริ ชั้น1# ศูนย์รวมกระเป๋าเดินทางคุณภาพเยี่ยมในราคาเบาๆ


 

ผิวหน้าของคุณมีลักษณะอย่างไร

ผิวหน้าของคุณมีลักษณะอย่างไร



รูป ลักษณ์ภายนอกถือเป็นปัจจัยสำคัญ โดยเฉพาะการมีผิวพรรณที่สุขภาพดี ที่คนส่วนใหญ่มักจะมองรองมาจากหน้าตา ยิ่งถ้าคุณผิวเนียน สวยใส แล้วละก็คุณคือ นัมเบอร์วัน ที่หนุ่มๆจะหมายปองกันเลยที่เดียว แต่คุณจะรู้ได้อย่างไรละว่า ผิวพรรณของคุณนั้นมีลักษณะแบบไหน และใช้ครีมบำรุงประเภทใด ถึงจะเหมาะกับผิวของเราและช่วยเสริมให้ผิวดูสดใส เปล่งประกายมากกว่าสาวๆแซ่บคนอื่นๆ ลอง สังเกตดูผิวหน้าของตัวเองดูนะคะ ว่าเป็นลักษณะแบบไหน จะได้เลือกใช้ครีมบำรุงได้ถูกกับสภาพผิว โดยที่ไม่เกิดอาการการแพ้หรือระคายเคืองต่อผิวหน้าคะ
สาวผิวผสม  ลักษณะของผิวจะมีน้ำมันเคลือบผิวบางๆ บริเวณทีโซน คือส่วนของหน้าผากและจมูก จึงมีความมันมากกว่าส่วนของแก้มควร เลือกใช้ครีมที่เหมาะกับสภาพผิว คือไม่เข้มข้นหรือเบาบางจนเกินไปส่วนการใช้มอยส์เจอไรเซอร์ ให้เลือกทาเฉพาะ ส่วนของของแก้มกับบริเวณผิวรอบดวงตา เพื่อป้องกัน การแห้งแตกและเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นได้
สาวผิวมัน เพราะต่อมไขมันบริเวณใบหน้าจะผลิตน้ำมันออกมามากจนเกินไป จึงทำให้ผิวหน้ามีความมันมากเป็นพิเศษบริเวณทีโซน มักจะมีรูขุมขนกว้าง ทำให้เป็นเป็นสิวได้ง่าย ควรเลือกใช้ครีมที่มีเนื้อบางเบา ซึมซาบง่าย และควบคุมความมันบนใบหน้าไปในตัว ควบคู่ไปกับมอยซ์เจอร์ไรเซอร์เสริมความแข็งแรงให้แก่ผิว เพื่อรักษาความชุ่มชื้น และป้องกันการเกิดริ้วรอยได้ค่ะ
สาวผิวแห้ง เป็นเพราะต่อมไขมันผลิตน้ำมันตามธรรมชาติออกมาน้อย ทำให้สาวผิวแห้งมีแนวโน้มเกิดริ้วรอย ผดผื่น และผิวแตกลอกได้ง่ายกว่าสาวผิวประเภทอื่น จึงจำเป็นต้องได้รับการบำรุงให้ชุ่มชื่นอยู่เสมอ โดยเลือกครีมบำรุงผิวและมอยซ์เจอร์ไรเซอร์ที่มีความเข้มข้นเหมาะสม ทาเป็นประจำทุกวัน เพื่อช่วยคงความชุ่มชื่นให้แก่ผิว
สาวผิวแพ้ง่าย  เพราะชั้นของผิวหนังได้ลดการต้านทานต่อสารระคายเคืองผิวลง ทำให้ผิวบอบบางเกิดการระคายเคืองได้ง่ายๆ ควรเลือกใช้ครีมที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำหอม เพื่อที่จะได้ไม่ก่อให้เกิดการอุดตันในรูขุมขนและต้องผ่านการทดสอบโดยผู้ เชี่ยวชาญด้านผิวพรรณแล้วว่าไม่ระคายเคืองต่อผิวบอบบาง แพ้ง่าย


http://webboard.yenta4.com/topic/541613

วันพฤหัสบดีที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

การเลือกสีลิปสติก


ลิปสติกที่ใช้กันทั่วไปมี 4 เฉดสี คือ แดง ชมพู ส้ม น้ำตาล ซึ่งเป็นสีพื้นฐานที่เข้ากับการแต่งกายสีสันต่าง ๆ ได้ง่าย ผู้หญิงทุกคนเหมาะกับลิปสติกไม่เหมือนกัน เพียงแต่เลือกเฉดสีที่เหมาะตามสีผิว

ผิวขาว สามารถเลือกใช้ลิปสติกได้ทุกเฉดสี และโทนสีต่างๆ จะสามารถให้ความรู้สึกและสะท้อนบุคลิกภาพที่แตกต่างกันออกไป

โทนสีชมพู - ทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์มากขึ้น

โทนสีแดง -
ทำให้หน้าสว่างไสว โดยเด่นและมีเสน่ห์สะดุดตาเป็นพิเศษ

โทนสีน้ำตาล -
ทำให้ใบหน้าดูเท่

 
ผิวสองสี แนะนำให้เลือกใช้เฉดสีส้ม สีที่เหมาะที่สุด คือ สีโอลด์โรส ถ้าจะเลือกใช้โทนสีแดงก็ควรเป็นสีแดงออกส้ม ส่วนโทนสีน้ำตาลลองเลือกดูเป็นสีน้ำตาลอมลับก็จะช่วยให้ใบหน้าดูกระจ่างใสขึ้น

ผิวคล้ำ สีลิปสติกที่เลือกใช้ควรมีโทนแดงผสมอยู่จะทำให้ผิวหน้าสว่างใสยิ่งขึ้น หลีกเลี่ยงลิปสติกสีคล้ำและถ้าหากชอบใช้สีสด ๆ อยู่แล้วควรเลือกสีแดงสดไปเลย ส่วนคุณผู้หญิงที่มีปัญหาริมฝีปากคล้ำให้ทารองพื้นบนริมฝีปากด้วยเพื่อปรับสีผิวริมฝีปากให้กลมกลืนกับสีผิวโดยรวมของใบหน้าแล้วค่อยทาลิปสติกสีที่เลือก หรืออาจเลือกใช้ลิปสติกที่มีเข้มกว่าสีที่ชอบใช้สักเล็กน้อยและที่สำคัญควรเลือกลิปสติกที่มีคุณสมบัติเนื้อลิปสติกละเอียดให้ฟิล์มสีที่แน่นและเนียนนุ่มพร้อมความชุ่มชื่น


ขอขอบคุณข้อมูลจาก หนังสือสวยด้วยแพทย์ ขอขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต


วันพฤหัสบดีที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2556

วันพฤหัสบดีที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2556

ตำนานช็อคโกแลต

ตำนานช็อคโกแลต



         ตำนานของช็อกโกแลตเริ่มขึ้นเมื่อ 4 ,000 ช็อกโกแลตเป็นผลผลิตของต้นกาเกา ( Cacao ) หรือที่เราเรียกติดปากว่า "โกโก้ " โดยชาวพื้นเมืองเผ่าแอซแตกในเม็กซิโก ได้ใช้ผลกาเกามาทำเป็นเครื่องปรุงรสเผ็ดผสมร่วมกับพริกและพริกไท เรียกว่า"ช็อกโกลา" ( Chocolatl ) ที่มีความหมายว่า เครื่องปรุงที่ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย ต่อมา คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส เดินทางมาถึงอเมริกาเขาได้รับการต้อนรับจากชาวแอซแตก ด้วยเครื่องดื่มนี้และสร้างความประทับใจแก่ คริสโตเฟอร์ โคลัมบัสมาก หลังจากนั้นชาวสเปนได้ปรุงแต่งรสชาติเครื่องดื่มนี้ใหม่ โดยใส่น้ำตาลและผงวานิลาแทนพริก เครื่องดื่มช็อกโกแลตจึงเริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นและแพร่หลายกลายเป็นของหวานที่รู้จักกันทั่วโลกด้วยทั้งรสหวานนุ่มและมีกลิ่นหอมเป็นพิเศษ แล้วยังมีรสชาติปรุงแต่งเพื่อให้ความแตกต่างกันมากมาย โดยมีรูปแบบแตกต่างกัน แบ่งตามรสชาติออกเป็น 3 ชนิด คือ ช็อกโกแลตขมที่เป็นช็อกโกแลตต้นตำหรับ ช็อกโกแลตขาว,ช็อกโกแลตนม ซึ่งมีทั้งชนิดแท่ง เหลี่ยม กลม เคลือบ สอดไส้ ผสมในขนมเค้ก รวมทั้งเป็นเครื่องดื่มอีกด้วย

       หลังจากนั้นอีกเกือบหนึ่งศตวรรษ ความหอมหวานของเครื่องดื่มช็อกโกแลต จึงเริ่มเข้าไปแพร่หลายในทวีปยุโรป โดยในช่วงกลางปี พ . ศ . 2143 ความนิยามของเครื่องดื่มช็อกโกแลตขยายไปถึงอิตาลี ฮอลแลนด์และฝรั่งเศส นอกจากนั้นยังมีหลักฐานยืนยันว่าเครื่องดื่มชนิดนี้เป็นที่รู้จักของขุนนางอังกฤษในปี พ . ศ . 2207 ต้นศตวรรษที่ 18 เป็นช่วงเวลาที่เริ่มมีการเปิดร้านขายเครื่องดื่มช็อกโกแลตแข่งกับ ร้านขายกาแฟในกรุงลอนดอน และผลของการปฎิวัติอุตสาหกรรมที่ทำให้มีการนำเครื่องจักรเข้ามาช่วยในการผลิต ก็ทำให้เจ้าช็อกโกแลต มีราคาต่ำลง จนคนทั่วไปสามารถหาซื้อมาบริโภคได้



       โดยในปี พ . ศ . 2271 เจ . เอส . ฟราย (J.S.Fry) เป็นผู้ตั้งโรงงานทำช็อกโกแลตในประเทศอังกฤษ ขึ้นเป็นครั้งแรกที่เมืองบริสตอล ในปี พ . ศ . 2371 คอนราดฟอน เฮาเซ่น นักเคมีชาวสวีเดน ค้นพบวิธีการสกัดไขมันที่เรียกว่า ไขมันโกโก้ ออกมาเป็นช็อกโกแลต ซึ่งสามารถนำมาแปรรูปเป็นผงโกโก้ได้สำเร็จ โดยที่ เจ . เอส . ฟราย รวมถึงแคดเบอรี่เป็นผู้นำมาเป็นวัตถุดิบสำหรับการผลิตช็อกโกแลตแท่ง สำหรับบริโภคได้ในอีกสองทศวรรษต่อมา คนทั่วโลกจึงได้ลิ้มรสของช็อกโกแลตในรูปแบบที่ไม่ใช่เครื่องดื่ม ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา หลังจากนั้นอีกประมาณ 30 ปี ชาวสวิสจึงพัฒนาธุรกิจขนมหวานและช็อกโกแลตนมจนเป็นที่นิยมบริโภคมาจนถึงปัจจุบั

       กระบวนการผลิตช็อกโกแลตมีขั้นตอนที่ยุ่งยากซับซ้อน เริ่มจากการผสมส่วนผสม การบดเพื่อทำให้ละเอียดโดยใช้ลูกกลิ้งบด 6 ตัว เพื่อลดขนาดอนุภาค ขนาดอนุภาคของช็อกโกแลตต้องมีขนาดเล็กมาก ไม่ควรเกิน 35 ไมครอน การนวด ประมาณ 24-48 ชั่วโมง การควบคุมผลึกโดยการควบคุมอุณหภูมิของช็อกโกแลตให้อยู่ในรูปที่เสถียร การขึ้นรูปโดยใช้แม่พิมพ์ โดยแม่พิมพ์ควรมีอุณหภูมิประมาณ 30 องศาเซลเซียส เพื่อไม่ให้ช็อกโกแลตติดแม่พิมพ์ เคาะแม่พิมพ์เพื่อไล่ฟองอากาศ ทำให้เย็นเพื่อกำจัดความร้อง จากการควบคุมผลึกหากกำจัดความร้อนไม่สมบูรณ์ จะเกิดการหลอมเหลวของไขมัน เป็นคราบขาว บริเวณผิวหน้า ซึ่งเรียกว่า Fat bloom ทำให้ผลิตภัณฑ์ไม่น่ารับประทาน คุณลักษณะของช็อกโกแลตจะขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ในการใช้งาน เช่น ช็อกโกแลตชิพ ในคุกกี้ จะต้องไม่ละลายเมื่อนำไปอบ ช็อกโกแลตสำหรับเคลือบจะต้องมีความหนืดต่ำ อ่อนตัวกว่าปกติ เมื่อเคลือบจะได้ไม่หนาเกินไป ช็อกโกแลตเป็นขนมที่มีคุณค่าโภชนาการค่อนข้างสูง นอกจากให้พลังงานจากคาร์โบไฮเดรตและไขมันแล้ว ยังมีวิตามิน เอ ดี เค และธาตุเหล็กค่อนข้างสูง การรับประทานช็อกโกแลตควรรับประทานในปริมาณที่พอเหมาะ เพราะอาจส่งผลให้เกิดปัญหาสุขภาพ เช่น โรคอ้วน ความดัน ในโลหิตสูง ตามมาก็ได้






Referenc:  http://thitapa13.exteen.com/20110221/entry-1



วันพฤหัสบดีที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2556

การบริจาคโลหิต

คุณสมบัติผู้บริจาคโลหิต
1. มีน้ำหนัก 45 กิโลกรัมขึ้นไป
2. อายุระหว่าง 17 ปี ถึง 60 ปีบริบูรณ์ ( ถ้าเป็นผู้บริจาคครั้งแรกต้องอายุไม่เกิน 55 ปี)
3. มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง ไม่มีโรคประจำตัว ไม่อยู่ระหว่างไม่สบายหรือรับประทานยาใดๆ
4. ไม่มีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ หรือติดยาเสพติด
5. สตรีไม่อยู่ในระหว่างมีประจำเดือน ตั้งครรภ์หรือ ให้นมบุตร และไม่มีการคลอดบุตรหรือแท้งบุตรภายใน 6 เดือนที่ผ่านมา

การเตรียมตัวก่อนบริจาคโลหิต
-นอนหลับให้เพียงพออย่างน้อย 6 ชั่วโมงต่อเนื่อง ในเวลาปกติคืนก่อนวันบริจาค
-รับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง และยาธาตุเหล็กเพิ่ม
-รับประทานอาหารมื้อหลักก่อนมาบริจาคโลหิต หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง เนื่องจากจะทำให้สีของพลาสมาผิดปกติเป็นสีขาวขุ่น ไม่สามารถนำไปใช้ได้
-ดื่มน้ำ 3-4 แก้ว และเครื่องดื่มเหลวเพิ่ม เช่น น้ำผลไม้ นม น้ำหวาน เพื่อเพิ่มปริมาณโลหิตในร่างกาย จะช่วยป้องกันอาการแทรกซ้อน เช่น มึนงง อ่อนเพลีย หรือวิงเวียนศีรษะภายหลังบริจาคโลหิต หลีกเลี่ยงชา กาแฟ หรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน
-งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ อย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อนบริจาค
-งดสูบบุหรี่ ก่อนและหลังบริจาคโลหิต 1 ชั่วโมง เพื่อให้ปอดฟอกโลหิตได้ดี

ขณะบริจาคโลหิต
-สวมใส่เสื้อผ้าที่แขนเสื้อไม่คับเกินไป สามารถดึงขึ้นเหนือข้อศอกได้อย่างน้อย 3 นิ้ว
-เลือกแขนข้างที่เส้นโลหิตดำใหญ่ชัดเจน ที่สามารถให้โลหิตไหลลงถุงได้ดี ผิวหนังบริเวณที่จะให้เจาะ ไม่มีผื่นคัน หรือรอยเขียวช้ำ ถ้าแพ้ยาทาฆ่าเชื้อ เช่น แอลกอฮอล์ ให้แจ้งเจ้าหน้าที่ทราบล่วงหน้า
-ทำตัวตามสบาย อย่ากลัว หรือวิตกกังวล
-ไม่ควรเคี้ยวหมากฝรั่ง หรืออมลูกอมขณะบริจาคโลหิต
-ขณะบริจาคควรบีบลูกยางอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้โลหิตไหลได้สะดวก หากมีอาการผิดปกติ เช่น ใจสั่น วิงเวียน มีอาการคล้ายจะเป็นลม อาการชา อาการเจ็บที่ผิดปกติ ต้องรีบแจ้งให้พยาบาลหรือเจ้าหน้าที่ในบริเวณนั้นทราบทันที
-หลังบริจาคโลหิตเสร็จเรียบร้อย ห้ามลุกทันที ให้นอนพักสักครู่จนกระทั่งรู้สึกสบายดี จึงลุกไปดื่มน้ำ และรับประทานอาหารว่างที่จัดไว้รับรอง

หลังบริจาคโลหิต
-ดื่มน้ำมากกว่าปกติ เป็นเวลา 1-2 วัน
-หลีกเลี่ยงการทำซาวน่า หรือออกกำลังกายที่ต้องเสียเหงื่อมากๆ งดใช้กำลังแขนข้างที่เจาะ รวมถึงการหิ้วของหนักๆ เป็นเวลา 24 ชั่วโมง ภายหลังการบริจาคโลหิต
-ถ้ามีอาการเวียนศีรษะคล้ายจะเป็นลม หรือรู้สึกผิดปกติ ให้รีบนั่งก้มศีรษะต่ำระหว่างเข่า หรือนอนราบยกเท้าสูงจนกระทั่งมีอาการปกติจึงลุกขึ้น และเดินทางกลับ ป้องกันอุบัติเหตุจากการล้ม
-ถ้ามีโลหิตซึมออกมาจากรอยผ้าปิดแผล อย่าตกใจ ให้ใช้นิ้วมืออีกด้านหนึ่งกดลงบนผ้าก๊อส กดให้แน่นและยกแขนสูงไว้ประมาณ 3-5 นาที หากยังไม่หยุดซึมให้กลับมายังสถานที่บริจาคโลหิตเพื่อพบแพทย์หรือพยาบาล
-ผู้บริจาคโลหิตที่ทำงานปีนป่ายที่สูง หรือทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักรกล ควรหยุดพัก 1 วัน
-รับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง และยาธาตุเหล็กที่ได้รับวันละอย่างน้อย 1 เม็ด จนหมด เพื่อป้องกันการขาดธาตุเหล็ก

ขั้นตอนบริจาคโลหิต
ขั้นตอนที่ 1 กรอกแบบฟอร์มผู้บริจาคโลหิต

*ควรให้ข้อมูลตรงตามความเป็นจริงของผู้บริจาค จะทำให้ได้โลหิตที่มีคุณภาพ ปลอดภัย ลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นทั้งต่อตัวผู้บริจาคเอง และตัวผู้ป่วย รวมทั้งเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในการรับบริจาคโลหิต
ขั้นตอนที่ 2 ตรวจร่างกาย วัดความดันโลหิต และความเข้มโลหิต



*บุคลากรทางการแพทย์ จะสอบถามประวัติผู้บริจาคเพิ่มเติม เพื่อวินิจฉัยเบื้องต้นว่าท่าน มีสุขภาพพร้อมที่จะบริจาคโลหิตหรือไม่ โปรดอย่าปิดบังข้อมูลเรื่องสุขภาพ หรือเขินอายที่ จะตอบคำถาม
ขั้นตอนที่ 3 ลงทะเบียนรับหมายเลขถุงบรรจุโลหิต ที่เคาน์เตอร์ทะเบียน



          ขั้นตอนที่ 4 บริจาคโลหิต ที่ชั้น 2



          ขั้นตอนที่ 5 พักรับประทานอาหารว่าง/เครื่องดื่ม

             *หลังบริจาคโลหิตจำเป็นต้องดื่มเครื่องดื่มที่เจ้าหน้าที่จัดไว้บริการให้ และนั่งพักสักระยะหนึ่งเพื่อให้ร่างกายได้ปรับสภาพน้ำในร่างกาย เมื่อปกติดีแล้วจึงเดินทางกลับ










วันพฤหัสบดีที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2556

KFC

เปิดประวัติ KFC เรื่องราวของนักสู้ผู้ไม่ยอมแพ้




         มีชายคนหนึ่ง พ่อของเขาเสียชีวิตตอนที่เขาอายุได้เพียงห้าขวบเขาต้องออกจากโรงเรียนกลางคัน ขณะอายุ 16 ปี ตอนอายุ 17 ปี เขาแสดงความสามารถพิเศษด้วยการตกงานติดต่อกันถึง 4 ครั้งเขาแต่งงานตอนอายุ 18 ปี ปีถัดมาเขาได้เป็นพ่อคนแต่ชีวิตคู่ของเขาก็มีความสุขอยู่ได้ไม่นานนัก อายุ 20 ปี ภรรยาของเขาพาลูกสาวหนีไปเพราะทนใช้ชีวิตกับเขาไม่ได้ช่วงอายุ 18-22 ปี เขาประกอบอาชีพเป็นคนขายตั๋วรถไฟแล้วก็ล้มเหลวแต่เขาก็ยังต่อสู้กับชีวิตด้วยการหาโอกาสให้ชีวิต แต่ทุกอย่างที่เขาทำก็ไม่วายล้มเหลวเหมือนเดิมเขาสมัครเข้าเป็นทหารในกองทัพแต่ก็ถูกขับออกมาหันเหมาสมัครเข้าโรงเรียนกฎหมาย แต่ด้วยความสามารถอันเอกอุเขาถูกปฏิเสธอย่างไม่ใยดีแล้วเขาก็ไปทำงานเป็นพนักงานขายประกัน แน่นอนที่สุดเขาล้มเหลวอีกครั้ง (แล้ว)

ค่เกริ่นมาข้างต้นก็คงไม่ต้องบอกว่า ชายคนนี้ทำอะไรไม่ได้เรื่องเลยสักอย่าง !แต่ก็อย่างว่าแหละ คนเราอะไรมันจะไม่ได้เรื่องไปเสียหมดสิ่งเดียวที่เขาพบว่า เขาทำได้ดีก็คือ การทำอาหารดังนั้นเขาจึงไปทำงานเป็นพ่อครัวและคนล้างจานในร้านกาแฟเล็กๆ แห่งหนึ่ง แต่นั่นก็ไม่ใช่ชีวิตที่ทรงคุณค่าอะไรเลยในความคิดของเขาชีวิตที่ร้านกาแฟ เขามีเวลามากมายที่จะนั่งคิดและทำอะไรได้มากพอสมควรแต่เขากลับเลือกใช้เวลานั่งคิดถึงภรรยาและลูกสาวของเขาเขาเพียรพยายามติดต่อภรรยาและอ้อนวอนให้เธอกลับมาใช้ชีวิตร่วมกันอีกครั้ง แต่ได้รับคำปฏิเสธ

เขาเปลี่ยนความคิดใหม่ เขาไม่ต้องการภรรยาอีกต่อไป ขอเพียงแต่ได้ลูกสาวกลับคืนมาก็พอเพราะเขารักและคิดถึงเธอเหลือเกินเขาใช้เวลาว่างในร้านกาแฟวางแผนในการนำลูกสาวกลับคืนมาสู่อ้อมอกของตนเขาวางแผนทุกขั้นตอนละเอียดยิบ คำนวณทุกฝีก้าวในที่สุดแผนการอันแสนยาวนานก็เสร็จสิ้นลงเมื่อเวลาผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ คุณพ่อวัยรุ่นผู้น่าสงสารซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้นอกบ้านหลังเล็กๆ ของภรรยาของเขาเฝ้ามองลูกสาวของเขาเล่นอยู่หน้าบ้านและเตรียม พร้อมที่จะ "ลักพาตัวเธอ!"แล้ววันที่ตั้งใจไว้ก็มาถึง เขาซ่อนตัวอยู่หลังพุ่มไม้อย่างระมัดระวัง แม้จะรู้สึกกังวล ตื่นเต้น และตระหนกอยู่บ้างแต่นั่นมิอาจเทียบได้กับความรักที่เขามีต่อลูก เขาตัดสินใจที่จะต้องลงมือทำให้สำเร็จ แต่แล้วอนิจจา

วันนั้นลูก สาวของเขาไม่ออกมาเล่นหน้าบ้านเลยแม้กระทั่งความพยายามในการก่ออาชญากรรม เขาก็ยังล้มเหลวเขารู้สึกเหมือนคนที่พ่ายแพ้ต่อโชคชะตา รู้สึกเหมือนคนไม่มีค่าและเหมือนพระเจ้ากำหนดมาแล้วว่าเขาจะต้องอยู่เพียงลำพังไปตลอดชีวิตแต่เหมือนปาฏิหาริย์ ในที่สุดเขาก็สามารถโน้มน้าวภรรยาให้กลับมาอยู่ด้วยกันได้พวกเขาทำงานด้วยกันในร้านกาแฟแห่งนั้น ทำอาหารและล้างจานอยู่จนกระทั่งเขาเกษียณ ตอนอายุ 65 ปี


วันแรกของการเกษียณอายุ เขาได้รับเช็คเงินประกันสังคมฉบับแรกของเขา เป็นเงิน 105 ดอลลาร์(ราวสี่พันบาท)เช็คดังกล่าวเหมือนเป็นตัวแทนของรัฐที่ฝากมาบอกเขาว่า เขาไม่อาจจะดูแลตัวเองได้อีกต่อไปแล้ว ทั้งหมดที่เขาทำได้ก็คือใช้ชีวิต อยู่จนกระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิตด้วยเงินสนับสนุนจากรัฐบาลมันไม่ใช่ครั้งแรกที่เขารู้สึกถูกปฏิเสธ ล้มเหลว เสียกำลังใจ และท้อแท้ชีวิตของเขาได้รับความผิดหวังอีกครั้งหนึ่งหลังจาก 65 ปีอันยาวนานเขาบอกกับตัวเองว่าถ้าเขาดูแลตัวเองไม่ได้ ต้องมีชีวิตอยู่โดยให้รัฐบาลดูแลเขาก็ไม่สมควรจะมีชีวิตอีกต่อไป เขาตัดสินใจ (อีกแล้ว) ว่า "จะฆ่าตัวตาย"

เขาหยิบกระดาษหนึ่งแผ่นกับดินสอหนึ่งแท่งนั่งลงใต้ต้นไม้ในสวนหลังบ้านอย่างสงบ ตั้งใจที่จะเขียนคำสั่งเสียและพินัยกรรมแต่แทนที่จะทำเช่นนั้น กลับเหมือนมีอะไรมาดลใจ เหมือนเป็นครั้งแรกที่ชีวิตเกิดปัญญาเขาเริ่มต้นเขียนสิ่งที่เขาควรจะเป็น ชีวิตที่เขาควรจะมี และสิ่งที่เขาปรารถนาในช่วงชีวิตสุดท้ายที่เหลืออยู่เขาตกใจมาก เมื่อค้นพบความจริงในชีวิตว่า เขายังไม่เคยทำอะไรสำเร็จเป็นชิ้นเป็นอันกับเขาสักอย่างเลย ! (เพิ่งนึกได้)

เขานั่งครุ่นคิดกับตัวเองอย่างจริงจัง มีบางอย่างที่เขาสามารถทำได้บางอย่างที่คนที่รอบตัวทำสู้เขาไม่ได้ ใช่ ! เขารู้วิธีปรุงอาหารชีวิตเกือบทั้งหมดของเขา อยู่ที่หน้าเตาร้อนๆ มาตลอด เขาตัดสินใจกับตัวเองอีกครั้งในที่สุดเขาเลือกที่จะมีชีวิตอยู่เพื่อทำอะไรสักอย่างในชีวิตให้ประสบความสำเร็จเขาตั้งใจว่าถ้าเขาจะตาย เขาก็อยากจะตายในแบบที่ได้ลองพยายามเป็นใครสักคนและทำบางสิ่งบางอย่างที่มีค่าด้วยชีวิตที่เหลืออยู่น้อยนิดของเขาเขาลุกจากเงาไม้ มุ่งหน้าไปยังธนาคารในเมือง เพื่อขอยืมเงินจำนวน 87 ดอลลาร์จากเช็คประกันสังคมฉบับต่อไปของเขาด้วยเงิน 87 ดอลลาร์นั้น เขาซื้อกล่องเปล่าและไก่จำนวนหนึ่ง

จากนั้นเขาก็กลับไปที่บ้านและลงมือทอดไก่ที่ซื้อมาด้วยสูตรพิเศษที่เขาได้คิดค้นขึ้นมาในช่วงหลายปีที่ทำงานที่ร้านกาแฟนั้นเขาเริ่มขายไก่ทอดของเขาตามบ้านต่างๆ ในเมืองคอร์บิน รัฐเคนตั๊กกี้ของเขาแล้วคนขายไก่ทอดอายุ 65 ปีคนนั้นก็กลายมาเป็นผู้พันฮาร์แลนด์ แซนเดอร์สราชาผู้เป็นที่รักของอาณาจักร Kentucky Fried Chicken หรือที่เรารู้จักกันในนาม KFC นั่นเองตอนอายุ 65 ปี เขาเป็นเหมือนอนุสรณ์แห่งความล้มเหลวที่ยังมีชีวิต แต่ในวัย 85 ปีเขาก็กลายเป็นเศรษฐีพันล้านและมีชื่อเสียงไปทั่วโลก มีผู้คนให้เกียรติเขาทั่วประเทศ

เรื่องราวชีวิตของผู้พันแซนเดอร์ส เป็นอีกบทหนึ่งของเรื่องราวความสำเร็จที่ได้รับคำยกย่องจากผู้คนทั่วโลก แต่ใครจะรู้บ้างว่าหากใต้ต้นไม้วันนั้นผู้พันแซนเดอร์สได้ทำตามที่เขาตั้งใจไว้แต่แรกตำนานไก่ทอดสะท้านโลกก็คงจะไม่มีให้เราได้เห็นกัน จริงอย่างที่เขาว่า ความสำเร็จกับความล้มเหลวห่างกันเพียงแค่พลิกฝ่ามือมันอยู่ที่ว่าคุณเลือกที่จะ "สู้ต่อ" หรือ "ยอมแพ้"

สำหรับผู้พันแซนเดอร์ส 65 ปี ของชีวิตที่ล้มเหลว เทียบคุณค่าอะไรไม่ได้เลยกับ 20 ปีแห่งความสำเร็จแล้วชีวิตของคุณหละ ล้มเหลวมากพอหรือยัง ?











ขอขอบคุณข้อมูลจาก : นิตยสาร Financial Freedom
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก: wiki