ตำนานของช็อกโกแลตเริ่มขึ้นเมื่อ
4 ,000 ช็อกโกแลตเป็นผลผลิตของต้นกาเกา ( Cacao
) หรือที่เราเรียกติดปากว่า "โกโก้ "
โดยชาวพื้นเมืองเผ่าแอซแตกในเม็กซิโก ได้ใช้ผลกาเกามาทำเป็นเครื่องปรุงรสเผ็ดผสมร่วมกับพริกและพริกไท
เรียกว่า"ช็อกโกลา" ( Chocolatl ) ที่มีความหมายว่า
เครื่องปรุงที่ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย ต่อมา คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส
เดินทางมาถึงอเมริกาเขาได้รับการต้อนรับจากชาวแอซแตก
ด้วยเครื่องดื่มนี้และสร้างความประทับใจแก่ คริสโตเฟอร์ โคลัมบัสมาก
หลังจากนั้นชาวสเปนได้ปรุงแต่งรสชาติเครื่องดื่มนี้ใหม่
โดยใส่น้ำตาลและผงวานิลาแทนพริก
เครื่องดื่มช็อกโกแลตจึงเริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นและแพร่หลายกลายเป็นของหวานที่รู้จักกันทั่วโลกด้วยทั้งรสหวานนุ่มและมีกลิ่นหอมเป็นพิเศษ
แล้วยังมีรสชาติปรุงแต่งเพื่อให้ความแตกต่างกันมากมาย โดยมีรูปแบบแตกต่างกัน
แบ่งตามรสชาติออกเป็น 3 ชนิด คือ
ช็อกโกแลตขมที่เป็นช็อกโกแลตต้นตำหรับ ช็อกโกแลตขาว,ช็อกโกแลตนม
ซึ่งมีทั้งชนิดแท่ง เหลี่ยม กลม เคลือบ สอดไส้ ผสมในขนมเค้ก
รวมทั้งเป็นเครื่องดื่มอีกด้วย
หลังจากนั้นอีกเกือบหนึ่งศตวรรษ
ความหอมหวานของเครื่องดื่มช็อกโกแลต จึงเริ่มเข้าไปแพร่หลายในทวีปยุโรป
โดยในช่วงกลางปี พ . ศ . 2143
ความนิยามของเครื่องดื่มช็อกโกแลตขยายไปถึงอิตาลี ฮอลแลนด์และฝรั่งเศส
นอกจากนั้นยังมีหลักฐานยืนยันว่าเครื่องดื่มชนิดนี้เป็นที่รู้จักของขุนนางอังกฤษในปี
พ . ศ . 2207 ต้นศตวรรษที่ 18
เป็นช่วงเวลาที่เริ่มมีการเปิดร้านขายเครื่องดื่มช็อกโกแลตแข่งกับ
ร้านขายกาแฟในกรุงลอนดอน
และผลของการปฎิวัติอุตสาหกรรมที่ทำให้มีการนำเครื่องจักรเข้ามาช่วยในการผลิต
ก็ทำให้เจ้าช็อกโกแลต มีราคาต่ำลง จนคนทั่วไปสามารถหาซื้อมาบริโภคได้
โดยในปี พ . ศ . 2271 เจ . เอส . ฟราย (J.S.Fry) เป็นผู้ตั้งโรงงานทำช็อกโกแลตในประเทศอังกฤษ
ขึ้นเป็นครั้งแรกที่เมืองบริสตอล ในปี พ . ศ . 2371
คอนราดฟอน เฮาเซ่น นักเคมีชาวสวีเดน ค้นพบวิธีการสกัดไขมันที่เรียกว่า ไขมันโกโก้
ออกมาเป็นช็อกโกแลต ซึ่งสามารถนำมาแปรรูปเป็นผงโกโก้ได้สำเร็จ โดยที่ เจ . เอส .
ฟราย รวมถึงแคดเบอรี่เป็นผู้นำมาเป็นวัตถุดิบสำหรับการผลิตช็อกโกแลตแท่ง
สำหรับบริโภคได้ในอีกสองทศวรรษต่อมา
คนทั่วโลกจึงได้ลิ้มรสของช็อกโกแลตในรูปแบบที่ไม่ใช่เครื่องดื่ม
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา หลังจากนั้นอีกประมาณ 30 ปี
ชาวสวิสจึงพัฒนาธุรกิจขนมหวานและช็อกโกแลตนมจนเป็นที่นิยมบริโภคมาจนถึงปัจจุบั
กระบวนการผลิตช็อกโกแลตมีขั้นตอนที่ยุ่งยากซับซ้อน เริ่มจากการผสมส่วนผสม
การบดเพื่อทำให้ละเอียดโดยใช้ลูกกลิ้งบด 6
ตัว เพื่อลดขนาดอนุภาค ขนาดอนุภาคของช็อกโกแลตต้องมีขนาดเล็กมาก
ไม่ควรเกิน 35 ไมครอน การนวด ประมาณ 24-48 ชั่วโมง
การควบคุมผลึกโดยการควบคุมอุณหภูมิของช็อกโกแลตให้อยู่ในรูปที่เสถียร
การขึ้นรูปโดยใช้แม่พิมพ์ โดยแม่พิมพ์ควรมีอุณหภูมิประมาณ 30 องศาเซลเซียส เพื่อไม่ให้ช็อกโกแลตติดแม่พิมพ์ เคาะแม่พิมพ์เพื่อไล่ฟองอากาศ
ทำให้เย็นเพื่อกำจัดความร้อง จากการควบคุมผลึกหากกำจัดความร้อนไม่สมบูรณ์
จะเกิดการหลอมเหลวของไขมัน เป็นคราบขาว บริเวณผิวหน้า ซึ่งเรียกว่า Fat
bloom ทำให้ผลิตภัณฑ์ไม่น่ารับประทาน
คุณลักษณะของช็อกโกแลตจะขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ในการใช้งาน เช่น ช็อกโกแลตชิพ
ในคุกกี้ จะต้องไม่ละลายเมื่อนำไปอบ ช็อกโกแลตสำหรับเคลือบจะต้องมีความหนืดต่ำ
อ่อนตัวกว่าปกติ เมื่อเคลือบจะได้ไม่หนาเกินไป
ช็อกโกแลตเป็นขนมที่มีคุณค่าโภชนาการค่อนข้างสูง
นอกจากให้พลังงานจากคาร์โบไฮเดรตและไขมันแล้ว ยังมีวิตามิน เอ ดี เค
และธาตุเหล็กค่อนข้างสูง การรับประทานช็อกโกแลตควรรับประทานในปริมาณที่พอเหมาะ
เพราะอาจส่งผลให้เกิดปัญหาสุขภาพ เช่น โรคอ้วน ความดัน ในโลหิตสูง ตามมาก็ได้
Referenc: http://thitapa13.exteen.com/20110221/entry-1
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น